MY CALENDAR 51011411102

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำไมคนเราถึงแก่

มีมากมายหลายวิธีที่คุณจะสามารถบอกเล่าทฤษฎีที่เกี่ยวกับอายุได้ แต่ที่ได้รับการยอมรับและกล่าวถึงมากที่สุด มีแค่ 3 ทฤษฎีเท่านั้น

The Genetic Theory: ทฤษฎี หลักพันธุศาสตร์ซึ่งแม้นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายว่า อะไรเป็นตัวแปรทำให้คนดูแตกต่างกันแม้ว่าจะมีอายุเท่ากัน แต่ที่หลักพันธุศาสตร์สามารถยืนยันได้ก็คือ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่อายุยืน ก็มักมีอายุยืนยาวนานเหมือนกับพ่อแม่ด้วย รวมทั้งผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย

The Free Redical Theory: ทฤษฎีอนุมูลอิสระทุกวันนี้มีคนทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสารต่อต้านอนุมูลอิสระมา มาก ด้วยการใช้สารต่อต้านแอนตี้ออกซิแดนต์(คล้ายวิตามินอีและดี)เพื่อป้องกัน ก่อนที่สารดังกล่าวเข้ามาทำร้ายเซลล์ของเรา ทั้งนี้ศาสตราจารย์ Jeffery Blumberg of Nutrition at Tulfts Univesity กล่าว ว่าร่างกายของเราเองก็สามารถสร้างเอนไซม์ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระให้ลดน้อยลง ไปได้เหมือนกัน แต่อาหารก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ร่างกายของเราเสื่อมลงได้ เพราะเดี๋ยวนี้การอดอาหารหรือแม้แต่กินอาหารแบบไม่บันยะบันยัง เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปโรคต่างๆจะถามหาได้ เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ การเสื่อมของเม็ดสี พาร์กินสัน และอนุมูลอิสระยังโจมตีคอลลาเจนและอิลาสติน ที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อ จนทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นบนผิวได้

The Hormonal Theory: ทฤษฎีฮอร์โมน เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง วัยหมดประจำเดือน โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ ฯลฯ เกิดขึ้นเพราะระดับของฮอร์โมนลดลง มักเกิดขึ้นกับคนวัย 30 ขึ้นไป และยิ่งใช้ชีวิตรีบเร่ง คุณก็จะแก่เร็วยิ่งขึ้นอีก

4 เรื่องสุขภาพ

1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

คำตอบคือกินสายกลาง กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมด ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร ฉะนั้นการกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็ว ขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหาร เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน


2. โรค Attention Deficit Trait ดย ผศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
pasu@acc.chula.ac.th

ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวด เร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพักท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบ ข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่?

ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ
Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้ง หลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น

ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมีผู้ใหญ่เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก

ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา

โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว

การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ (เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า)

ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม "ปิดประตู" เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

***ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน (เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน)***

3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด

เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง

จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย

ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง - เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy

วิธีวินิจฉัยอาการ แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ

โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
S: (smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T: (talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R: (raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง

อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!

ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่ง ร.พ.โดยด่วน

17 สูตร เพื่อผิวสวย

1. หากอยากให้ผิวพรรณผุดผ่องล่ะก็ ก่อนลงเล่นน้ำทะเลควรจะชโลมเบบี้ออยล์ให้ทั่วตัวก่อน แล้วค่อยใช้ทรายที่ชายทะเลขัดผิว ก่อนที่จะไปล้างตัวด้วยการเล่นน้ำทะเล แต่อย่าลืมทาครีมหรือโลชั่นกันแดดที่มี SPF 15 ด้วย ไม่งั้นผิวสวยๆจะไหม้เกรียมซะก่อนนะจ๊ะ

2.
ส่วนสาวที่มีผิวบอบบาง ควรป้องกันผิวจากรังสียู่วีในแสงอาทิตย์ได้ด้วยการชโลมน้ำมันอัลมอนด์ลงบน ผิวกายทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือจะใช้น้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว ก็ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวได้เหมือนกัน


3.
มอยส์เจอไรเซอร์ สำหรับสาวที่มีผิวไวและเกิดการระคายเคืองง่าย ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของกรดหรือน้ำหอม สังเกตได้บนฉลากของผลิตภัณฑ์จะเขียนคำว่า " Comedogenic " หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันนั่นเอง


4.
สาวที่มีผิวธรรมดา แต่มักตกสะเก็ดและคันในช่วงหน้าหนาว ขอแนะนำให้ใช้โลขั่นที่มีความชุ่มชื้น ที่ออกแบบมาสำหรับคงความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ตลอด 24 ชั่วโมง


5.
สาวที่อยากมีผิวขาวเนียนสว่างกระจ่างตา ทำได้โดยนำมะขามเปียกมาขัดถูผิวเวลาอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งแตก ยิ่งในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ด้วยยิ่งดีใหญ่ เพราะจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น

...ใส่ใจใบหน้าให้ใสปิ๊ง...


6. ดื่มน้ำแร่อย่างน้อย 1.5 ลิตรทุกวัน จะช่วยให้ผิวพรรณและใบหน้าสดใส

7.
ใช้น้ำแร่เย็นเฉียบล้างหน้าเป็นประจำเช้า-เย็น จะช่วยลดรอยขรุขระบนใบหน้าได้ น้ำเย็นยังช่วยให้ผิวหน้าปรับสภาพและคืนสมดุลได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย


8.
สาวๆหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ผิวหน้าก็หิวน้ำได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหมั่นฉีดสเปรย์น้ำแร่ให้ใบหน้าคงความชุ่มชื้นได้ตลอดวัน

9.
นำน้ำผึ้งมาอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ แล้วพอกทาทั่วใบหน้าและลำคอ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็นการให้สารอาหารบำรุงกับผิวหน้าด้วย


10.
ลองใช้น้ำผึ้งมาผสมน้ำนมอาบเหมือนพระนางคลีโอพัตราบ้างก็ได้ วิธีนี้จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

11.
ใช้เมล็ดอัลมอนด์บดผสมกับโยเกิร์ต พอกทิ้งไว้ 18-20 นาที ใช้น้ำล้างหน้าแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ด จากนั้นล้างหน้าอีกครั้ง แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่นุ่มนวลเนียนใส


...ถนอมผิวรอบดวงตา...

12. ทำความสะอาดรอบดวงตาอย่างละมุนละไม โดยเฉพาะสาวไหนที่รักการแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ควรเลือกใช้โลชั่นเช็ดเครื่องสำอางที่ผลิตมาเป็นพิเศษสำหรับล้างเครื่อง สำอางอย่างอายแชโดว์และมาสคาร่า

13.
ก่อนเลือกซื้อครีมบำรุงรอบดวงตา ให้พิจารณาด้วยว่ามีส่วนผสมอะไรในครีมบ้าง เช่น ถ้าผสมชาเขียวซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้สดใสขึ้น หรือถ้ามีส่วนผสมของคาโมมายล์ ก็จะช่วยในการผ่อนคลาย และปลอบประโลมผิวจากอาการระคายเคืองได้ดี


14.
สำหรับสาวที่อยากชะลอริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกครีมบำรุงดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น ขณะที่วิตามินบีจะช่วยซ่อมแซมผิว และวิตามินช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอย

15.
ก่อนนอน ควรดูแลผิวรอบดวงตาด้วยการใช้นิ้วมือแตะครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วถูเนื้อครีมให้เข้ากัน วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อครีมผสมผสานทำงานได้ดีขึ้น แล้วแตะเบาๆบนผิวรอบดวงตา ปล่อยให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจะช่วยบำรุงและชะลอริ้วรอยเพื่อผิวหน้าสด ใส


16.
ส่วนครีมบำรุงรอบดวงตาตอนเช้า เลือกชนิดเจลที่มีส่วนผสมของวิตามินที่ช่วยลดริ้วรอยและปกป้องแสงแดด ทั้งนี้ไม่ควรใช้ครีมสำหรับใบหน้าทาบริเวณรอบดวงตา เพราะบางชนิดเนื้อครีมจะมีความเข้มข้นสูง และมีส่วนผสมของน้ำหอม และสี ซึ่งอาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคืองได้

17. สาวไหนนอนดึก สามารถแก้ขอบตาดำคล้ำได้ด้วยการฝานมันฝรั่งบางๆ แล้ววางลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ 10 นาที น้ำและความชุ่มชื้นจากมันฝรั่งจะซึมซาบเข้าสู่ผิว ช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาจางลงได้

“ข้าวงอก” มหัศจรรย์ของขวัญสุขภาพจากผืนดิน



ปัจจุบัน กระแสการรักสุขภาพขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์ความเร่งรีบของวิถีประจำวันที่ทำให้คนใช้ร่าง กายหนักขึ้น เผชิญมลพิษมากขึ้น ประกอบกับมีโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้มีการหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นตามไปด้วย จนในขณะนี้ แม้กระทั่งอาหารหลักอย่าง “ข้าว” ก็มี “ข้าวสุขภาพ” หลากหลายรูปแบบ ออกมาให้เลือกรับประทานกัน หนึ่งในข้าวสุขภาพที่กำลังอยู่ในความสนใจในกลุ่มรักสุขภาพก็คือ “ข้าวงอก”

เดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญ จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการค้นคว้าและพัฒนาการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอก ว่า การกินข้าวงอกเพื่อสุขภาพนั้นเริ่มต้นจากประเทศจีน จากนั้นก็เลยไปที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะแพร่ไปทั่วโลก
“ใน ข้าวทุกประเภททุกสายพันธุ์จะมีสารที่เรียกว่า กาบา (Gaba - Gamma-Aminobutyric acid) แต่ก็จะมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป มีงานวิจัยออกมาว่า สารกาบามีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งทำให้จิตใจสงบ ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท และยังมีแป้งน้อยกว่าข้าวธรรมดาถึง 4 เท่า เหมาะต่อผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน ทั้งยังทำให้คลายเครียด ลดความกังวล และทำให้อารมณ์ดี หลายๆ คนเลยให้ชื่อเล่นของข้าวงอกว่า ข้าวอารมณ์ดีครับ”
ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ อธิบายต่อไปว่า สำหรับคนที่ไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอกมาก่อนเลยนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า “ข้าวงอก” คือ ข้าวที่เอาเปลือกออกแล้ว แต่ยังไม่ได้ขัดสี ลักษณะก็คือ “ข้าวกล้อง” ทั่วไปที่รู้จักกันนั่นเอง การจะนำข้าวมาทำข้าวงอกนั้น ต้องใช้ข้าวกล้องเท่านั้น จะพันธุ์ใดก็ได้ งอกได้เหมือนกันหมด
“ส่วน ที่จะงอกได้ คือ ส่วนที่เป็นจมูกข้าว นั่นเป็นสาเหตุให้การทำข้าวงอก ต้องทำจากข้าวกล้องเท่านั้น เพราะข้าวกล้องยังไม่ได้สีเอาจมูกข้าวออกไป ถ้าเป็นข้าวสารขาวๆ นั่น เขาสีออกไปหมดแล้ว จมูกก็หลุด เอามาแช่ยังไงก็ไม่งอก เพราะส่วนที่งอกได้มันไม่มีแล้ว ในส่วนของสารกาบา ในข้าวกล้องธรรมดาก็มี แต่ในข้าวงอกจะมีมากที่สุด คือ ประมาณ 15 เท่าของข้าวกล้องธรรมดา ถ้ามองในเชิงปรัชญา การงอกของข้าวงอกมันหมายถึงชีวิต เมล็ดข้าวจะมีพลังชีวิตขณะที่มันกำลังงอก”


กินวิตามินบี1หนีห่าง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ของสตรีมาก 2 ใน 3



นักวิจัยศูนย์มะเร็งเกาหลีใต้ เผยผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินผักและผลไม้ที่มีสารสารโฟเลตมากที่สุด จะหนี ห่างโรคได้มากกว่าผู้ทที่กินผลไม้น้อยกว่าถึง 2 ใน 3...

นักวิจัย เมืองกิมจิแนะนำให้ สตรีพากันกินผักใบเขียวดก และผลไม้จำพวกมะนาวและส้ม ซึ่งมีสารโฟเลตมากๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่เป็นที่น่าประหลาดว่า กลับไม่เผื่อแผ่ อานิสงส์ มาถึงเพศชายเลย

ดร.เจ.คิม แห่งศูนย์มะเร็งแห่งชาติ ของเกาหลีใต้ ได้พบจากการศึกษาจากคนไข้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จำนวนเกือบ 600 ราย เทียบกับคนปกติจำนวนเท่ากันพบว่า ผู้หญิงที่กินผักและผลไม้เหล่านั้น ทำให้ได้สารโฟเลตมากที่สุด จะหนี ห่างโรคได้มากกว่าผู้ที่ได้กินสารโฟเลตหรือวิตามินบีน้อยที่สุด ได้ถึง 2 ใน 3 และได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลการศึกษาส่อให้เห็นว่า การปรับเปลี่ยนการกินอยู่อาจจะ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลงได้

ดร.คิม ได้พยายามศึกษาเรื่องนี้มานับแต่พบว่าตั้งแต่ทศวรรษ ปี พ.ศ. 2543 มา เมื่อคนเกาหลีใต้นิยมกินอาหารแบบตะวันตกมากขึ้น ก็มีผู้เป็นโรคนี้สูงขึ้นถึง 6 เท่า.

อาหารลดหลอดเลือดหัวใจตีบตัน


โรคหัวใจและหลอดเลือด ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประชากรโลก ใน โลกนี้ทุกๆ 2 วินาทีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว และ 1 ใน 5 คนที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน มักจะเสียชีวิตอย่างกะทันหัน โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ส่วนใหญ่เกิดกับชายในวัยทำงานที่กำลังสร้างตัวและขะมักเขม้นกับการหาเลี้ยง ครอบครัว สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่รวมไปถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย และตามัวตามืดนั้น มีต้นตอที่เกิดจาก “โรคหลอดเลือดแดงตีบ-ตันจากตะกรันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะ (Atherosclerosis)" ซึ่งโรคนี้นับเป็นมฤตยูร้ายต้นเหตุการเสียชีวิตอย่างแท้จริง

ปัจจุบัน พบว่าแนวโน้มการเกิดตะกรันในหลอดเลือดแดงทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะเพิ่ม ขึ้น เพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมในการบริโภค การออกแรงขยับเขยื้อนน้อยลง รวมไปถึงการไม่ได้ออกกำลัง การใช้ชีวิตที่รุมเร้าด้วยความไม่แน่นอนทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ห่างไกลศาสนาขาดที่พึ่งทางใจ ดังนั้นคนทุกเพศทุกวัยมีโอกาสที่จะเกิดตะกรันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะได้ทั้งสิ้น

อาการเริ่มแรกของโรคหัวใจขาด เลือด มักจะมีอาการเจ็บหน้าอก เจ็บแขนซ้ายหรือกราม อึดอัดหายใจไม่ออก อ่อนเพลียและเหงื่อออกง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อหัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ขณะออกกำลังกาย สามารถตรวจพบโดยการทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการเดินบนสายพานพร้อมบันทึกคลื่น หัวใจ

สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยเสริมการเกิดตะกรันในหลอดเลือดหัวใจและสมอง มีทั้งปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ เช่น เพศ อายุ และ พันธุกรรม เช่น การมีอายุมากขึ้น (ผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป) มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ 4 ประการแรกที่สำคัญคือ บุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน ปัจจัยเสริม ได้แก่ ความอ้วน ความเครียด เกลือ น้ำตาล ขาดการออกกำลังกายอย่างงสม่ำเสมอสำหรับการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ได้แก่ วัดความดันโลหิต ตรวจเลือดวัดปริมานไขมันทั้ง 6 อย่าง วัดปริมาณน้ำตาลในเลือด รวมทั้งการให้ข้อมูลเรื่องประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวกับแพทย์ด้วย

การ ป้องกันและดูแลสุขภาพด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เริ่มต้นด้วยการเลิกทำร้ายผิวในของหลอดเลือด ด้วยการงดการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงสูดควันบุหรี่ของคนอื่น ลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ อาทิ ผักสดผลไม้สดหลายรสและหลากสี เลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม และอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง รับประทานอาหารแต่พอดีกับแคลอรี่ที่ใช้ในแต่ละวัน ป้องกันการสะสมไขมันที่ทำให้อ้วน มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสม ไม่นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะนานเกินไป หมั่นหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผ่อนคลายความเครียด รักษาความดันโลหิต ควบคุมระดับไขมันในเลือด และเบาหวาน ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ

ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ชมรมโภชนวิทยามหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลดีผลเสียของการบริโภค น้ำมันแต่ละชนิดว่าน้ำมันชนิดใดดีต่อร่างกาย ชนิดใดไม่เหมาะสมต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น หลายคนจึงเริ่มหลีกเลี่ยงน้ำมันไม่ดีหันมาใช้น้ำมันที่มีสัดส่วน กรดไขมันชนิดดีมากขึ้น ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนล่า เป็นต้น ซึ่งพบว่าจะมี กรดไขมันดีคือชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว มีผลต่อการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หลอดเลือดและหัวใจ กรดไขมัน โอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งเป็น "กรดไขมันจำเป็น" หมายถึง กรดไขมันที่ร่างกายสร้างไม่ได้ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น กรดไขมัน โอเมก้า 3 และ6 ที่ได้จากน้ำมันทานตะวัน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและเป็นสารตั้งต้นในการสร้าง EPA และ DHA ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและ หลอดเลือด มีส่วนช่วยให้สมองและดวงตาทำงานได้ดี

ปัจจุบัน นักวิจัยพบว่าร่างกายของคนเราควรบริโภค กรดไขมันชนิด โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ในปริมาณที่พอเหมาะและในสัดส่วนที่สมดุลจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย โดยที่สถาบันแพทย์ University of Maryland แนะนำให้บริโภค โอเมก้า 6 โอเมก้า 3 ในสัดส่วน 4 : 1 เพื่อความสมดุลของร่างกายและช่วยป้องกันภาวะผิดปกติของร่างกาย ธรรมชาติไม่สามารถสร้างน้ำมันที่มีกรดไขมัน โอเมก้า 3 และ 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงเป็นทางเลือกใหม่ในการบริโภคน้ำมันชนิดใหม่ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง “น้ำมันคาโนล่าผสมน้ำมันทานตะวัน” ซึ่งน้ำมัน 2 ชนิดนี้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้รักสุขภาพว่าเป็นน้ำมันที่ดีมีคุณค่าต่อ สุขภาพ โดยนำมาผสมในสัดส่วนน้ำมันคาโนล่า 4 ส่วนต่อน้ำมันทานตะวัน 1 ส่วน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ผ่านการค้นคว้าแล้วว่าสมดุลและเหมาะสมกับความต้องการของ ร่างกาย เพื่อให้ได้รับ กรดไขมัน โอเมก้า 3, 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการบริโภค

นอกจากนี้ Blended oil ที่เกิดจากการผสมของน้ำมันคาโนล่าและน้ำมันทานตะวันในสัดส่วนนี้ยังมี โอเมก้า 9 และวิตามินอีสูง มีจุดเดือดสูงถึง 230 องศา จึงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายประเภท ทั้ง ผัด ทอด ย่าง หมัก ทำน้ำสลัด เป็นต้น การเลือกบริโภคน้ำมันที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งน้ำมันชนิดนี้มี โอเมก้า 3, 6 ในสัดส่วนที่สมดุลและเหมาะสมจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายและยังจะช่วย ส่งเสริมสุขภาพได้ จึงอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของบริโภคในยุคนี้ การรู้ทันโรคร้าย หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โรคร้ายไหนๆ ก็มิอาจคุกคามคุณได้.

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิตามินซี คุณค่าที่ได้มากกว่าการป้องกันหวัด


โดยทั่วไปแล้ว เราทราบมาว่าการรับประทานวิตามินซี เป็นประจำทุกวันสามารถสร้างภูมิต้านทาน ทำให้เราไม่เป็นหวัดบ่อยและหายจากโรคหวัดได้เร็วขึ้น ความคิดนี้สามารถยืนยันได้จากผลวิจัยที่มีการทำในปี 1970 โดย ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ถึง 2 ครั้ง ได้เขียนหนังสือ เล่มหนึ่งชื่อ "วิตามินซีกับโรคหวัด" เขากล่าวว่าหากเราได้รับ วิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม จะสามารถป้องกันหวัดและถ้าเป็นหวัดก็จะหายเร็วกว่า โดยจะมีวันป่วยน้อยกว่าคนปกติถึง 60%

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมมากมายที่ทำให้เราทราบว่า วิตามินซีมีประโยชน์มากกว่าการป้องกันโรคหวัด ได้แก่
วิตามินซี สามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคได้

เราพบว่า วิตามินซี มีคุณสมบัติในการทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพมากขึ้น นอกจากนั้นวิตามินซี ยังช่วยลดการหลั่งสารก่อภูมิแพ้ในร่างกาย หรือฮิสตามีน ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ในร่างกายนี้จะถูกกระตุ้นให้มีปริมาณสูงขึ้น เมื่อร่างกายได้รับสารหรือสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ แต่ถ้าร่างกายมี วิตามินซี เพียงพอ ก็จะสามารถบรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส จากคุณสมบัติการเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ

วิตามินซี ช่วยบำรุงผิวได้

สำหรับการดูแลสุขภาพเพื่อให้มีผิวพรรณที่สมบูรณ์ การรับประทานผักสดและผลไม้สด ทำให้ผิวสวย เหงือกและฟันแข็งแรง นั่นเพราะวิตามินซี ในผักและผลไม้ จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิว เมื่อเซลล์ผิวได้รับอาหารมากก็จะทำงานดีขึ้น ผิวจะดูมีสุขภาพดี และเรียบเนียน รวมทั้งวิตามินซี ยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์ ทำให้ผิวแน่น และยืดหยุ่นดีขึ้น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร วิตามินซี ยังช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจากวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ ทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น

คนที่สูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ ต้องการวิตามินซี มากกว่าคนอื่น

มีการวิจัยพบว่า เด็กที่ผู้ปกครองสูบบุหรี่ จะมีปริมาณวิตามินซี ในร่างกายลดลงครึ่งหนึ่ง ของเด็กที่ผู้ปกครองไม่สูบบุหรี่ ดังนั้นคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนสูบบุหรี่หรือสูบบุหรี่เอง ควรรับประทานวิตามินซี เสริม โดยวิตามินซี สามารถช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิต ของคนที่สูบบุหรี่ที่มีระบบไหลเวียนโลหิตไม่ดี ให้มีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่า การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือด จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรับประทานวิตามินซี ในขนาด 2,000 มิลลิกรัม

รับประทานวิตามินซี ทุกวัน ไม่เป็นต้อกระจก

มีการศึกษาชึ้นหนึ่งพบว่า ผู้ที่รับประทานวิตามินซี มาอย่างน้อย 10 ปี จะมีโอกาสที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77% ซึ่งยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

การรับประทานวิตามินซี จากผักผลไม้อย่างเดียวไม่เพียงพอ

เนื่องจากวิตามินซี เป็นวิตามิน ที่เสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับอากาศ ความร้อน หรือความชื้น ดังนั้นเราควรเลือกรับประทานผัก ผลไม้ที่สดใหม่ หรือยิ่งเก็บจากต้นได้จะยิ่งดี โดยที่การรับประทานจากผลไม้ เช่น ส้ม 1 ผลที่เก็บใหม่จากต้น จะมีวิตามินซี ประมาณ 20-40 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าเราต้องการเพียงเพื่อไม่ให้ขาดวิตามินซี ต้องรับประทานส้มที่เก็บใหม่จากต้นวันละ 2-3 ผล แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถเลือกได้ ดังนั้นประมาณวิตามินซี ร่างกายได้รับแต่ละวันอาจจะไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ

การเลือกรับประทานวิตามินซี ให้มีประสิทธิภาพ

ควรรับประทานวิตามินซี จากแหล่งธรรมชาติ เนื่องจากในธรรมชาติเรามักพบวิตามินซี ร่วมกับสารอาหารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ ดังนั้นการรับประทานวิตามินซี เสริม ควรเลือกรับประทานวิตามินซี ที่มีส่วนผสมของไบโอฟลานอยด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี อยู่ในร่างกายได้ดีขึ้น

การรับประทานวิตามินซี เสริม ปลอดภัยแม่รับประทานในระยะยาว

วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายน้ำ ร่างกายสามารถขับออกได้ตามปกติโดยทางไต หากเราได้รับวิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะมีอาการของโรคเลือดออกตามไรฟัน แต่การได้รับวิตามินซี ที่มากเกินไป ร่างกายสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะอีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการประทานวิตามินซี แม่จะรับประทานในปริมาณที่สูง มีผลการวิจัย พบว่าในคนปกติการรับประทานวิตามินซี เป็นประจำทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน สามารถรับประทานได้สูงถึง 3,000 มิลลิกรัมโดยไม่มีอันตรายใดๆ

ปริมาณวิตามินซี ที่ควรได้รับในแต่ละวัน

สำหรับความต้องการที่ควรจะได้รับวิตามินซี ในแต่ละวันนั้นแตกต่างกันตามวิถ๊ชีวิต และความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย เช่น

- ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด เป็นโรคภูมิแพ้ และร่างกายอ่อนแอ ควรได้รับวันละ 1,000-2,000 มิลลิกรัม
- ผู้ที่อยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ มีความเครียดในร่างกาย ควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- ผู้ที่ต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพ ควรได้รับวันละ 1,000 มิลลิกรัม

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โรคอ้วน

โรคอ้วน

สาเหตุของการอ้วน

1. กรรมพันธุ์ ถ้าพ่อและแม่เป็นคนอ้วน ลูกก็มีโอกาสอ้วนได้มา

2. ทานอาหาร มากเกินต้องการของร่างกาย อาหารที่เกินนี้จะกลายเป็นไขมันสะสม ทำให้น้ำหนักร่างกายเพิ่มขึ้น

3. กิจกรรมน้อย เมื่ออายุมากขึ้น การใช้แรงงานของร่างกายลดลง ทำให้มีพลังงานเหลือเก็บ สะสมเป็นไขมัน

5. ยา บางอย่าง เมื่อกินเข้าไปแล้ว ทำให้อยากอาหารมากขึ้น, รับประทานอาหารมากขึ้น

6. ภาวะจิตใจ ผิดปกติ

คุณเข้าข่ายของสาเหตุพวกนี้หรือไม่ ถ้าใช่ทำอย่างไรดี???

วิธีลดความอ้วน

1. การควบคุมอาหาร

2. ออกกำลังกาย

3. การใช้ยาลดน้ำหนัก

4. การใช้อาหารลดน้ำหนัก

5. การผ่าตัด

6. การฝังเข็ม

7. การกดจุด

คนอ้วนมักจะทานอาหารที่มีแคลอรี่ เกินความต้องการของภายในแต่ละวัน จึงทำให้มีพลังงานเหลือใช้ ซึ่งจะถูกนำไปเก็บไนรูปไขมัน

การออกกำลังกาย แต่อย่างเดียวโดยไม่ควบคุมอาหารเลยทำให้การลดความอ้วนเป็นไปได้ยาก แม้เราจะพยายามออกกำลัง มาก ๆ ทุกวัน ซึ่งจะช่วยเผาผลาญ พลังงานได้ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณอาหารที่เรารับประทานแล้ว เรารับพลังงานจากอาหารเข้าไปมากกว่า พลังงานที่เผาผลาญไปจากการออกกำลังกาย

ทำไมเราจึงต้องลดความอ้วน

เพราะความอ้วน ทำให้เกิดโรคได้มากกว่า คนปกติ ได้แก่

1. โรคเบาหวาน

2. ความดันโลหิตสูง

3. ไขมันในเลือดสูง

4. นิ่วในถงน้ำดี

5. โรคปอด

6. ข้อเสื่อม

7. โรคหัวใจ

8. มีความต้านทานต่อโรคต่ำ

9. มะเร็ง

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการดวบคุมอาหาร

1. ทานอาหารมื้อเย็นให้น้อยที่สุด เพราะอาหารมื้อเย็น ร่างกายไม่ค่อยได้นำไปใช้มักจะเก็บสะสม ในรูปไขมัน

2. ค่อย ๆ ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ

3. งดอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4. ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ ลดการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน เบียร์ สุรา

5. ไม่ทานอาหารทอด ทานอาหารที่ปรุงโดยการ ต้ม นึ่ง อบเผา ปิ้ง

6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน หรือโคเรสเตอรอลสูง เช่น เนย ไข่แดง ปลาหมึก เค็ก คุ๊กกี้ เครื่องใน หมูสามชั้น ขาหมู หนังไก่ ข้าวมันไก่

7. ควรกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่นเนื้อสัตว์ แต่ควรเป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่นเนื้อปลา

8. รับประทานผักให้มาก เพราะให้พลังงานแคลอรี่น้อย แต่ช่วยเพิ่มกากใยอาหารช่วยในการขับถ่าย ให้เกลือแร่และวิตามินด้วย

9. ลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ไขมัน

10. เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยกินเมื่อหิวเท่านั้น ไม่กินพร่ำเพรื่อ กินอาหารช้า ๆ เคี้ยวช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด

11. พยายามมุ่งมั่นในการลดน้ำหนัก เตือนสติตัวเองอยู่เสมอ พยายามชั่งน้ำหนักตัวเองบ่อย ๆ ทุกวัน ทำตารางการออกกำลังกาย ตารางการทานอาหารในแต่ละมื้อ


ระวังภัยจากซีสต์

ระวังภัยจากซีสต์

ซีสต์เต้านม

เราควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเพื่อป้องกันวิธีการก็ง่ายๆๆ เพียงนอนลง ยกแขนข้างหนึ่งแล้วใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างหนึ่งคลำให้ทั่ว หากคลำพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ที่เต้านมก็ควรไปพบแพทย์ อย่าได้นิ่งนอนใจหรืออายหมอเพราะมันอาจไม่ใช่ซีสต์ธรรมดาที่ยุบไปได้เอง แต่มันอาจเป็นซีสต์ที่ยุบหนอพองหนอเรื้อรัง หรือเป็นมะเร็งเต้านมก็ได้

ซีสต์เกิดขึ้นได้อย่างไร

เป็น ผู้หญิงก็คงหนีไม่พ้นวงจรรอบเดือนในแต่ละเดือน และรอบเดือนนี่แหละที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ และตัวรังไข่จะถูกกระตุ้นให้การเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะมีไข่ตกและ เตรียมให้มีการฝังตัวของรังไข่เมื่อมีการตั้งครรภ์ ต่อมน้ำนมก็จะพองตัวขึ้นด้วยเพื่อเตรียมผลิตน้ำนม และเมื่อฮอร์โมนลดลง ประจำเดือนหมด ต่อมน้ำนมก็จะยุบลง แต่ถ้าต่อมน้ำนมพองตัวแล้วไม่ยุบลงก็จะเกิดเป็นซีสต์ขึ้นมา

ปัจจัยที่ก่อให้เกิดซีสต์

มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป (แต่ถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้ จะทำให้ผู้หญิงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้)สิ่งแวดล้อม และอาหารปนเปื้อน สารเคมี ไปช่วยกระตุ้น ให้มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น

อาการของซีสต์

ซีสต์เพิ่มจำนวนขึ้นเนื่องมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งอยู่ในเซลล์ของเต้านม พร้อมกันนี้เซลล์จะเติบโตขึ้นในต่อมน้ำนม และจะรู้สึกเจ็บก่อนมีประจำเดือนทำให้รู้สึกตึงเต้านมเล็กน้อย จนกระทั่งเจ็บเมื่อสัมผัสแตะต้อง ผู้หญิงอาจกังวลว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วซีสต์ส่วนใหญ่จะไม่กลายเป็นมะเร็ง โดยสังเกตได้คร่าวๆด้วยตัวเองคือ ซีสต์จะโตๆยุบๆตามรอบเดือน แต่มะเร็งจะโตขึ้นเรื่อยๆ อาการของซีสต์เต้านมจะเจ็บปวด ส่วนมะเร็งจะไม่มีอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ซีสต์จะมีลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ แต่มะเร็งจะเป็นก้อนแข็งๆ