MY CALENDAR 51011411102

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

มังคุดทำลายเซลล์มะเร็ง

สตรีนักวิทย์ศึกษาสารสกัดจากเปลือก มังคุด พบฤทธิ์จู่โจมเฉพาะเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ดีที่อยู่รายรอบ มั่นใจงานวิจัยสามารถพัฒนาเป็นยามะเร็งประสิทธิภาพสูงในอนาคต
รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เปิดเผยว่า ใช้เวลากว่า 2 ปีศึกษาฤทธิ์ต้านมะเร็งจากสมุนไพร หลังจากเชื่อว่าสมุนไพรบางชนิด อาทิ มังคุด ขมิ้นชัน ใบพุทรา สามารถต้านเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ ผลจากการทดสอบพบว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตาม

สารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัมดังกล่าว สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับ

นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้ศึกษาเทคนิคการรักษามะเร็งด้วยยีนบำบัด โดยนำสารสกัดจากมังคุดใส่ในเม็ดบีดขนาดจิ๋วระดับนาโน จากนั้นอาศัยไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนตัวและไม่เป็นอันตราย เป็นตัวนำเม็ดบีดนั้นเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถที่จะประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือโรคเลือดจาง ส่วนสารสกัดจากสมุนไพรขมิ้นชันและใบพุทรา ยังอยู่ระหว่างการศึกษา

ทั้งนี้ จากผลงานการศึกษาเกี่ยวกับสารสกัดจากสมุนไพร กับการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการผลิตเป็นยามะเร็งประสิทธิภาพสูงต่อไปในอนาคต จึงส่งผลให้ รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับรางวัลสตรีนักวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2547 จากลอรีอัล โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย 1.5 แสนบาท





7 เคล็ดลับความงาม ชนะอากาศร้อน



เครื่องสำอางเลอะเลือนได้ง่าย ด้วยความร้อนและความชื้นเป็นสาเหตุสำคัญ เราจึงได้สรรหาเคล็ดลับในการแต่งเติมความงามที่จะทำให้คุณดูสดใสและสวยงาม ได้ยาวนาน ถึงแม้อากาศจะไม่เป็นใจก็ตามที งั้นเรามีเคล็ดลับความงามที่เอาชนะอากาศร้อนได้ดีที่สุดสำหรับทุกคนมาฝากกัน ค่ะ

1. ถึงเวลาใช้ไฟรเมอร์ คุณจะไม่เสียใจเลยกับเวลาสองสามวินาทีที่ใช้ไปกับการทาไพรเมอร์ ซึ่งใช้หลังจากมอยส์เจอไรเซอร์และก่อนเครื่องสำอาง ไพรเมอร์เป็นชั้นของเมกอัพที่ไม่ให้ความรู้สึกหนาหนัก แต่จะช่วยทำให้เมกอัพติดทนานานขึ้น
2. ให้เมกอัพบางเบาลง เช่นเดียวกับที่เรามักจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าเนื้อบางเบา คุณก็ควรแต่งหน้าด้วยเมกอัพที่เบาลงเช่นกัน โดยเปลี่ยนจากรองพื้นมาเป็นมอยส์เจอไรเซอร์แบบเจือสี (Tinted Moisturzer) สูตรบางเบาของมันจะทำให้ผิวรู้สึกโปร่งสบาย และไม่ไหลเยิ้มในช่วงอากาศร้อน แต่ถ้ารู้สึกว่าปกปิดไม่ค่อยดีนัก ลองใช้รองพื้นแบบครีมหรือแบบแท่งทาทับในบริเวณที่ต้องการปกปิดเป็นพิเศษ รองพื้นจะมีเนื้อบางเบากว่าคอนซีลเลอร์จึงไม่ไหลเยิ้มได้ง่าย จากนั้น ปัดแป้งฝุ่นแบบโปร่งแสงทับ เพื่อเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัว
3. เลือกสีสดใส คุณมักใส่เสื้อสีสดใสหรือหิ้วกระเป๋าสีสดๆ ในหน้าร้อน และตอนนี้ก็เป็นห้วงเวลาที่เหมาะแก่การเล่นกับสีเมกอัพของคุณเช่นกัน สีสันสดๆ จะทำให้ใบหน้าของคุณดูสดชื่น และทำให้ผิวดูผุดผ่องและอ่อนเยาว์ ถ้าคุณมักจะแต่งหน้าด้วยสีกลางๆ ลองทดลองกับสีสดใสแค่หนึ่งสี และพวงแก้มสีสุกปลั่งเป็นบริเวณที่เหมาะแก่การทดลองอย่างมาก
4. หยุดความมัน บริเวณทีโซนที่เป็นมันเยิ้มไม่เซ็กซี่แม้แต่นิดเดียว เพื่อกำจัดความมันวาว ซึ่งไม่น่ามองในไม่กี่วินาที ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่ากระดาษซับมัน เพราะมันราคาถูก ใช้ง่าย และได้ผลดี ถ้าคุณอยากเติมเมกอัพของคุณสักหน่อย ก็ซับความมันวาวก่อน แล้วปัดแป้งฝุ่นที่มีประกายแวววาวเล็กน้อย มันจะทำให้หน้าคุณดูไม่มันเยิ้ม และยังคงความเปล่งปลั่งอยู่
5. เปลี่ยนลิปสติก เนื่องจากลิปสติกสีเข้มๆ ให้ความรู้สึกร้อนเกินไป เมื่อเวลาที่อากาศอ่นขึ้น ลองเปลี่ยนมาใช้ลิปบาล์มแบบเจือสีหรือลิปสติกแบบเนื้อบางเบา และเลือกแบบที่มีสารกันแดดเพื่อการปกป้องที่เพิ่มขึ้น
6. อายแชโดว์ติดทนนาน หลีกเลี่ยงอายแชโดว์แบบครีมและใช้อายไพรเมอร์แทน มันจะลดการเกิดคราบ และติดทนนาน หรือทาอายแชโดว์แบบฝุ่นทับแบบครีมเพื่อให้มันติดทนขึ้น และไม่เป็นคราบ อย่าลืมดูอายไลเนอร์ไม่ให้ไหลเลอะเทอะ ด้วยการเขียนอายไลเนอร์ตามปกติ แล้วใช้แปรงปลายตัด ทาอายแชโดว์สีเข้มทับลงไปบนเส้นนั้น อายไลเนอร์จะติดทนนานขึ้น
7. ใช้เครื่องสำอางกันน้ำ ถ้าคุณเคยใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำมาก่อน และไม่ค่อยชอบเท่าที่ควร ลองใช้มันอีกสักครั้ง เพราะเดี๋ยวนี้มาสคาร่าแบบกันน้ำสูตรใหม่จะดีกว่าเดิม แต่ถ้าไม่อยากเปลี่ยนจากมาสคาร่าเดิมที่คุณชอบ ลองทาแบบกันน้ำเฉพาะที่ปลายขนตาทับลงไปบนมาสคาร่าปกติที่คุณใช้ เพื่อให้มันติดทนนานขึ้น

ผลไม้ ผลผลิตอันน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ



ผลไม้ ผลผลิตอันน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ผู้หญิงหลายคนต่างหลงใหล และนำมารับประทานเพื่อเสริมสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า นอกจากคุณประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับแล้ว ผลไม้ยังอุดมด้วยแร่ธาตุ วิตามินและสารอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น มีเสน่ห์สดใสเป็นที่น่าจับตามอง ที่สำคัญยังช่วยชะลอเวลาของผิวสวยๆ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ใน ช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่อย่างนี้ การใช้ในสิ่งใกล้ตัวแล้วไม่ต้องหยุดสวย น่าจะเป็น 2 วัตถุประสงค์ที่สาวๆ น่าจะเรียนรู้ เรามาดูกันถึงความมหัศจรรย์แห่งความงามจากผลไม้ค่ะ

ทับทิม

ผล ไม้จากสวรรค์เป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ อุดมด้วยวิตามินเอ ซี และอี แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสสระ ที่ช่วยบำรุงผิวให้สวยสดใส เปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์ แถมยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการต้านการเสื่อมสภาพของผิวอีกด้วย

มะขามป้อม

ถือ เป็นผลไม้ที่มีโอสถในตัว เนื่องจากมีวิตามินซีสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ อีกทั้งคุณค่าแห่งการบำรุงเข้มข้น ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสแม้อยู่ในรูปของสารสกัด

ถั่วเหลือง

ธัญพืช ที่อุดมไปด้วยสารอาหารผิวและโปรตีน อีกทั้งยังมีไฟโตรเอสโตเจน ที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง สุขภาพดี

มะพร้าว

ผล ไม้มากคุณค่าแห่งการบำรุงที่มีมาช้านาน อุดมด้วยวิตามินอีโมเลกุลเล็ก จึงซึมซาบดูแลถึงเซลล์ชั้นใน ลดการสูญเสียโปรตีน ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะให้แข็งแรง ปรับสภาพและเสริมสร้างการเจริญของเส้นผม ให้ผมเงางาม สุขภาพดีมีน้ำหนัก

มะเฟือง

สมัย โบราณนิยมนำน้ำมะเฟืองสดมาชำระล้างทำความสะอาดเส้นผม เนื่องจากในผลมะเฟืองมีแร่ธาตุที่เหมาะกับเส้นผม อีกทั้งยังมากด้วยวิตามิน ช่วยรักษาสมดุลตามธรรมชาติให้กับเส้นผมและหนังศีรษะ ให้ผมนุ่ม ลื่น สะอาด ปราศจากรังแค

อาหารเย็น กับ ไมโครเวฟ


ช่วงฝนตกแบบนี้ หนุ่มสาววัยทำงานตลอดจนนักเรียนนักศึกษา คงจะเคยฝากท้องไว้กับร้านอาหารสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง ที่มีอยู่แทบทุกหัวระแหง และมีบริการขนม ของว่าง หรือกระทั่งอาหารกล่องแช่แข็งให้เลือกกันหลายเมนู เพียงจ่ายเงินแล้วให้พนักงานยัดอาหารกล่องแช่แข็งเมนูโปรดเข้าไปในเตาอบ ไมโครเวฟ ไม่กี่นาที อาหารแช่แข็งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเมนูจานร้อนหอมฉุยพร้อมเสิร์ฟ...สุดสะดวก แบบนี้ มั่นใจว่าต้องมีคนใช้บริการไม่น้อยแน่ๆ

แต่เท่าที่สังเกต พฤติกรรมการนำอาหารแช่แข็งเหล่านั้นเข้าเตาอบไมโครเวฟ ส่วนใหญ่มักจะคล้ายๆ กัน คือ หากเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ก็มักจะฉีกซองออกเล็กน้อย หรือเจาะให้ทะลุเป็นรูๆ แล้วเอาเข้าอบทั้งหีบห่อพลาสติก แต่ถ้าหากเป็นอาหารชนิดของว่างประเภทซาลาเปา จะเอาออกจากห่อใหญ่ที่แช่แข็งไว้ แล้วนำมาใส่ในถุงพลาสติกใสอย่างหนา แล้วจึงนำเข้าอบทั้งพลาสติกดังกล่าว

...บางคนกินบ่อยจนรู้สึกชินตา กับพฤติกรรมและรูปแบบของการอบอุ่นอาหารแช่แข็งเช่นนี้ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัย ของการอบอาหารทั้งบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ห่อหุ้มอยู่ ว่าความปลอดภัยจากการปนเปื้อนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

"ขึ้นอยู่กับ พลาสติก ว่ามันเป็นพลาสติกชนิดไหน ถ้าเป็นพลาสติกที่ได้มาตรฐาน และระบุชัดเจนว่า สามารถใช้อบในไมโครเวฟได้ อันนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหามันจะมาอยู่ที่พลาสติกที่ห่ออาหารนั้นๆ มันเป็นพลาสติกทนความร้อนที่สามารถใช้อบในไมโครเวฟได้ทุกชนิด ทุกยี่ห้อ ทุกผลิตภัณฑ์หรือเปล่า อันนี้เป็นประเด็นของร้านที่ต้องรับผิดชอบเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค"

รศ. ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอธิบาย ก่อนจะขยายวงออกไปถึงเรื่องของการอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟในครัวเรือนด้วย

" และนอกจากที่เราอาจจะต้องเจออาหารแช่แข็งอุ่นทั้งพลาสติกตามร้านสะดวกซื้อ แล้ว โอกาสที่เราจะซื้อมาแช่ไว้ในตู้เย็นแล้วบริโภคกันในบ้านก็เป็นสิ่งที่หลาย ครอบครัวทำกัน เนื่องจากสะดวกรวดเร็ว"

รศ.ดร.วินัย กล่าวต่ออีกว่า บางบ้านอาจจะเลือกความสะดวกโดยการอุ่นทั้งบรรจุภัณฑ์อย่างที่เห็นพนักงานใน ร้านทำ แต่บางบ้านอาจจะใช้วิธีแกะออกจากพลาสติกใส่จาน จากนั้นจึงทำไปเข้าไมโครเวฟเพราะคิดว่าปลอดภัยกว่า

"จริงๆ แล้วการเลือกภาชนะใส่อาหารเพื่อนำเข้าเตาอบไมโครเวฟก็ต้องเลือกดีๆ และยังมีคนอีกจำนวนมากที่เข้าใจผิดอยู่ ภาชนะที่ดีที่สุดในการใส่อาหารเข้าอบในไมโครเวฟ คือ ภาชนะถูกทำขึ้นเพื่อใช้ในการอบในเตาไมโครเวฟโดยเฉพาะ แต่หากไม่มีก็สามารถใช้จานกระเบื้องเนื้อหนาแทนก็ได้ ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือคนมักจะใช้จานหรือชามกระเบื้อง แต่ไม่ได้คำนึงว่าเป็นจานชามเนื้อเกลี้ยงๆ หรือมีการวาดลายลงสี อันนี้อันตรายมาก เพราะจานชามกระเบื้องเนื้อหนาทนความร้อน และสามารถเอาเข้าไมโครเวฟได้จริง แต่พวกลายสี หรือขอบเงินขอบทองที่ถูกเขียนไว้ อันนี้ไม่ทนความร้อนครับ ละลายได้และจะปนเปื้อนในอาหาร เมื่อกินอาหารเข้าไป สิ่งเหล่านี้ก็จะไปสะสมเป็นพิษอยู่ในร่างกาย"

ผู้เชี่ยวชาญด้าน โภชนาการ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ผู้บริโภคควรทำ นอกจากจะดูแลเรื่องการเลือกภาชนะมาอุ่นอาหารในไมโครเวฟที่บ้านแล้ว สำหรับมิติของร้านสะดวกซื้อ ผู้บริโภคควรดูที่บรรจุภัณฑ์ หากเป็นพลาสติกที่สามารถอบในไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย จะมีคำบ่งชี้ เช่น Microwave Save ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์

"แต่ถ้าอาหารชนิดไหนถูกนำเข้า อบโดยบรรจุภัณฑ์ไม่มีแจ้งว่าเป็นพลาสติกทนความร้อน ก็ควรจะถามพนักงานในร้าน หรือเรียกร้องไปยังเจ้าของเฟรนไชส์ร้าน ให้ชี้แจงว่าบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ดังกล่าวปลอดภัยหรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยของเรา ปัญหาของผู้บริโภคบ้านเราคือ เราไม่ควรเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองทั้งที่ทำได้ต้องช่วยกันครับ เพื่อสุขภาพของเราเอง" รศ.ดร.วินัย ทิ้งท้าย

ในขณะที่ผศ.ดร.วรรณวิมล อารยะปราณี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวัสดุ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความกระจ่างเพิ่มเติมว่า ตามปกติพลาสติกเมื่อถูกความร้อนจะสลายตัว แต่พลาสติกที่สามารถใช้อบไมโครเวฟได้นั้น จะต้องเป็นพลาสติกที่ทนความร้อน

" เมลามีน ก็ไม่ใช่พลาสติกทนความร้อน มีคนเข้าใจผิดมากเกี่ยวกับเมลามีนและใช้เป็นภาชนะเพื่ออบไมโครเวฟกันเป็น จำนวนมาก อาจจะมีการโฆษณาจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับบางครั้งที่เราเอาเมลามีนเข้าไมโครเวฟเพียง 1-2 นาที หรือ 5 นาที ความร้อนมันจะยังไม่ทำให้ละลายออกมาจนเห็นชัด แต่เมลามีนไม่ใช่พลาสติกทนความร้อนได้ถึงในระดับไมโครเวฟ และแม้จะอบและไม่ถึงขั้นละลายออกมาให้เห็นก็มีโอกาสปนเปื้อนได้"

ผศ. ดร.วรรณวิมล ให้ความรู้ต่อไปอีกว่า ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยมักเข้าใจผิด คือ การใช้ฟิล์มพลาสติกถนอมอาหาร หรือทึ่คุ้นปากกันในชื่อ "แร็ป" ในการห่อ อาหารหรือหุ้มภาชนะ ก่อนจะเอาเข้าไมโครเวฟนั้นเป็นเรื่องที่ปลอดภัย เพราะในความเป็นจริงแล้วความเข้าใจดังกล่าวไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

" การแร็ป อาหารอย่างถูกต้องและปลอดภัยนั้น ต้องให้พลาสติกแร็ปอยู่สูงเหนืออาหารอย่างน้อย 1 นิ้ว หากต่ำกว่านั้นพลาสติกแร็ปมีโอกาสจะละลายลงไปในอาหารได้" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ทิ้งท้ายค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

ปวดท้อง


เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ
1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต - คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ (ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำอมฤตเป็นยาพิษ เรื่องที่แม่ท้องควรรู้



เหล้าและเบียร์ กลายเป็นเครื่องดื่มปกติธรรมดาไปแล้วสำหรับคนไทยทุกวันนี้ อีกทั้งยังไม่ถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ เมื่อสังคมเปิดโอกาสและยอมรับกันมากขึ้น โดยไม่มองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือเสื่อมเสียเหมือนในอดีต จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่า ผู้หญิงในวัยทำงานเลิกดื่มน้ำผลไม้ น้ำส้มนางเอก แล้วหันมาเป็นนักดื่มกัน และมีแนวโน้มผู้หญิงเป็นนักดื่มเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงอายุน้อยลงจนน่าเป็นห่วง

แม้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะดูเป็น เรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว แต่หากพูดถึงผลกระทบทางสุขภาพอนามัย และโอกาสเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากการดื่มสุรา ผู้หญิงทั้งหลายควรต้องระมัดระวังตัวกว่าผู้ชายมากมายหลายเท่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ เพราะนอกจากที่รู้ๆ กันว่ามีความเสี่ยงต่อโรคอย่างตับแข็งแล้ว แอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำร้ายลูกน้อยในครรภ์ของแม่ได้

จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ไขข้อข้องใจเรื่องเหล้ากับแม่ท้องไว้อย่างน่าสนใจว่า ถึงแม่จะดื่มเพียงน้อยนิด แต่แอลกอฮอล์หรือน้ำอมฤตก็สามารถส่งผ่านจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ได้แสนง่ายดาย ใครคิดว่าไม่เป็นอันตรายต่อเด็กต้องคิดใหม่ เนื่องจากอวัยวะต่างๆ ของทารกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่พอที่จะกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย นั่นทำให้แอลกอฮอล์มีประสิทธิภาพในการทำลายเป็นพิเศษนอกจากจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเด็กแล้วยังส่งผลต่อการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนทารก

โดยเฉพาะในระยะ 6-8 สัปดาห์ คุณแม่ที่เป็นนักดื่มจึงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงทำให้ทารกที่เกิดมามีความพิการของอวัยะต่างๆ เช่น กระดูก หัวใจ หรือไตได้ ทั้งยังเป็นต้นเหตุให้เด็กมีร่างกายเล็กลีบ แคระแกร็น ตลอดจนมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการปัญญาอ่อนแต่กำเนิด ก็เพราะเนื้อเยื่อสมองถูกทำลายจากแอลกอฮอล์ตัวร้าย

'แอลกอฮอล์' ยังเป็นพลังงานที่ว่างเปล่า จากข้อมูลเดียวกันยังเป็นตัวบ่งชี้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าจะทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ก็ไม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ หากดื่มเหล้าและเบียร์จะส่งผลให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง สำหรับทารกที่แม่ดื่มเหล้ายามท้องจึงมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยภาวะทุพโภชนาการ หรือภาวะ "ขาดสารอาหาร" สูงมาก นอกเหนือไปจากที่เด็กจะเจ็บป่วยเป็นโรคติดสุราตั้งแต่กำเนิด ซึ่งคงไม่มีคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้เกิดกับลูก

แต่สิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งก็คือ หากแม่เป็นนักดื่มจะก่อให้เกิดความเสี่ยงยิ่งขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะตกเลือดหรือแท้งลูกได้ การดื่มของเหลวสีอำพัน ไม่ว่าจะเป็นสุรา เบียร์ ไวน์ วิสกี้ ค็อกเทล หรือแม้แต่เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ปริมาณไม่มากก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวล หากแม่ท้องมีความเข้าใจก็สามารถหลีกเลี่ยงห่างไกลจากเครื่องดื่มแสนจะเย้ายวนเหล่านี้ได้ นอกจากตัวเองจะไม่เจ็บป่วยจากภัยแอลกอฮอล์ และมีพลังในการดูแลตัวเองแล้ว เจ้าตัวน้อยในครรภ์ก็จะไม่ได้สารพิษที่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองและการเจริญเติบโตของร่างกาย

แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อสุขภาพ เรื่องนี้พ่อแม่ควรรู้และต้องเข้าใจอย่างแท้จริง ชักชวนกันรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้เบบี้ในท้อง เน้นอาหารการกินที่เหมาะสมยามท้อง ปลาน้ำจืด-น้ำเค็ม หรือจะดื่มน้ำผักผลไม้ โดยเฉพาะน้ำสมุนไพรจะเติมความสดชื่นให้กับแม่ท้อง หลากหลายเมนูเครื่องดื่มที่ไร้แอลกอฮอล์จะช่วยรีเฟรชให้กระปรี้กระเปร่า ปัจจุบันมีทางเลือกอย่างสร้างสรรค์มากมาย ช่วยให้สุขภาพคุณแม่และลูกแข็งแรง บอกลาแอลกอฮอล์ไปได้เลย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

กำลังใจสำหรับผู้ที่จะเลิกสูบบุหรี่

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยข้อมูลเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ในระหว่างการเลิกสูบบุหรี่ในช่วงสัปดาห์ไม่สูบบุหรี่โลกว่า การสำรวจสภาวะการสูบบุหรี่ของคนไทย พ.ศ.2552 พบว่ามีคนไทยที่เลิกสูบบุหรี่ได้แล้ว 6.2 ล้านคน คิดเป็น 28.2% หรือเกือบ 3 ใน 10 ของคนไทยที่เคยสูบบุหรี่ โดยเป็นเพศชาย 5.67 ล้านคน และเป็นเพศหญิง สามแสนแปดหมื่นคน และในผู้สูบบุหรี่ 12.5 ล้านคนที่มีอยู่ในขณะนี้ ร้อยละ 60 มีแผนที่จะเลิกสูบ และร้อยละ 50 ได้พยายามที่จะเลิกสูบในรอบปีที่ผ่านมา โดยวิธีการเลิกนั้น 88.9% พยายามเลิกด้วยตนเอง 5.6% เลิกโดยขอคำปรึกษาวิธีการเลิกจากบุคลากรสาธารณสุข 10.6% เลิกโดยการใช้ยา และ 2.9% เลิกโดยวิธีอื่นๆ โดยมีผู้สูบจำนวนหนึ่งพยายามเลิกโดยใช้วิธีการมากกว่าหนึ่งวิธี

ศ.นพ.ประกิต แนะนำให้ผู้ที่อยู่ในระหว่างการเลิกสูบบุหรี่ให้

1. พยายามอยู่ในที่ห้ามสูบบุหรี่

2. ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ที่ออกรสเปรี้ยว เพื่อขับสารนิโคตินออกจากร่างการ

3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ชอบดื่มคู่กับการสูบบุหรี่ เช่น ชา กาแฟ เหล้า เบียร์

4. พูดคุยกับเพื่อนหรือผู้ที่สามารถจะให้กำลังใจเราได้แทนการสูบบุหรี่

5. นำปากกา ดินสอ หนังสือ ฯลฯ มาถือไว้แทนการคีบบุหรี่

6. ทานผลไม้หลังอาหาร เพื่อลดความอยากบุหรี่

7. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เคยสูบเป็นประจำ

8. ปฏิเสธบุหรี่จากผู้อื่น โดยบอกให้ทราบถึงความตั้งใจจริงที่จะเลิกสูบบุหรี่

9. สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียด

10. พยายามออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ กระโดนเชือก หรือแม้แต่การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์

11. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดที่ทำให้อยากสูบบุหรี่ตามมา หากคุณเคยชินกับการสูบบุหรี่หลังอาหาร ให้แปรงฟันหลังอาหารแทนการสูบบุหรี่

12. ให้กำลังใจตนเอง อย่ายอมแพ้ต่อความยากลำบากเพราะที่คือ การวัดใจตัวเราเอง ว่าเรามุ่งมั่นแค่ไหนที่จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้

นายแพทย์ประกิตกล่าวว่า สัปดาห์แรกที่กำลังเลิกบุหรี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ต้องอดทนฟันฝ่าไปให้ได้ โดยเฉพาะวันที่ 3 ของการเลิกสูบ 40% จะกลับไปสูบใหม่หากไม่มีความตั้งใจที่แน่วแน่หรือขาดกำลังใจ





ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

แพทย์พบอิทธิฤทธิ์ใหม่ของเหล้าองุ่น ไวน์แดงปลุกอารมณ์



นักวิจัยเมืองมักกะโรนี พบ กลุ่มผู้ที่ดื่มไวน์แดงหากดื่มในปริมาณปานกลาง จะมีระดับความต้องการทางเพศสูงกว่าเพื่อนที่ดื่มเหล้าชนิดอื่น...
หมอ เมืองมะกะโรนีกล่าวเตือนสตรีทั้งหลายว่า ดื่มเหล้าไวน์แดงเพียงแก้วเดียวหรือ 2 แก้วเท่านั้น จะไปปลุกอารมณ์ อาจทำให้พลาดพลั้งเผลอสติได้
คณะแพทย์มหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ ได้พบในการศึกษาว่า สารเคมีที่มีอยู่ในเหล้าไวน์แดง จะช่วยขับเลือด ให้ไปเลี้ยงบริเวณสำคัญๆของร่างกายมากขึ้น ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้น
คณะนักวิจัยได้ศึกษา โดยระดมสตรีวัยระหว่าง 18-50 ปี 800 คน ซึ่งต่างมีสุขภาพทางเพศปกติ แบ่งออก เป็น 3 พวก พวกแรก เป็นผู้ที่ดื่มเหล้าไวน์วันละ 1-2 แก้วเป็นประจำอยู่แล้ว พวกที่ 2 ดื่มประจำเหมือนกัน แต่วันละเล็กน้อยไม่เกิน 1 แก้ว นอกนั้นเป็นผู้ไม่แตะสุรายาเมาเลย โดยขอให้แต่ละคนกรอกแบบสอบถามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์จากการ วิเคราะห์คะแนนได้ผลว่า กลุ่มที่ดื่มเหล้า ไวน์แดงในปริมาณปานกลาง จะมีระดับความต้องการทางเพศสูงกว่าเพื่อนที่ดื่มเหล้าชนิดอื่น หรือผู้ที่ไม่เป็นนักดื่มเลย
นักวิจัยได้อธิบายว่า ผลการค้นพบครั้งนี้ แม้จะต้องพินิจพิจารณาดูอย่างระมัดระวัง ถึงกระนั้นมันก็ยังส่อให้เห็นถึงความเกี่ยวพันของการดื่มเหล้าไวน์แดง กับสมรรถภาพทางเพศที่ทวีขึ้น".
ไทยรัฐออนไลน์

10 วิธีถนอม กระดูกสันหลัง



มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานวันนี้ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง จนลืมดูแลพฤติกรรมตัวเองไปกันเกือบหมดแล้ว ส่งผลให้โครงสร้างร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกสันหลังที่เป็นเสาหลักของร่างกาย เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททุกเส้น ที่ออกไปควบคุมการทำงานของร่างกายในทุกระบบ เพื่อให้ร่างกายไม่ถูกทำร้ายด้วยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีวิธีการหลีกหนีความเสี่ยงที่จะทำร้ายกระดูกสันหลังจาก ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ (Secret Shape Wellness Center)
1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้
3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ
5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

(ข้อมูลจาก นสพ. มติชน)

๏ ~* รู้ไว้ นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง * ~ ๏


1. ไม่ทานอาหารเช้า
หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป
การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)

3. การสูบบุหรี่
เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป
การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง

5. มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน
การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง
การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด
การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด
ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

5 คุณค่าจากสาหร่ายทะเล

สาหร่ายทะเล เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อสุขภาพและยังมีรสชาติอร่อย จึงนิยมใช้เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะใส่แกงจืดหรือผัดผักต่างๆ ก็ได้ นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลยังมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการอยู่ 18 ชนิด อาทิ แคลเซียม เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม และโซเดียม เป็นต้น แต่ที่มีมากเป็นพิเศษและมีความสำคัญต่อร่างกายของเรา ได้แก่
1. ไอโอดีน โดยปกติแล้วคนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน หากเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่นขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร แค่นี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน และช่วยป้องกันโรคคอพอกได้
2. ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในสาหร่ายทะเล ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล รวมทั้งบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางามมากยิ่งขึ้น
3. ทองแดง หน้าที่ดูดซึมธาตุเหล็กและสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก หากร่างกายขาดธาตุนี้จะทำให้เป็นโรคโลหิตจางและผมร่วงง่าย
4. สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
5. ใยอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ทำให้ท้องไม่ผูก และเร่งการขับถ่ายสารพิษต่างๆ ในทางเดินอาหาร

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่

เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ....
หาก ใครได้ดูรายการ "ข้อเท็จจริง..วันนี้" ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อง..กับไข่ไก่" เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้ ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียง ใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน