MY CALENDAR 51011411102

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาหารว่าง 10 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด


อาหารว่าง 10 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด

ในร้านสะดวกฃื้อหลายๆ ร้านนั้น ทุกๆ ครั้งที่เราเข้าไปนั้นมีสินค้ามากมายที่ เมื่อเข้าไปนั้นจะดึงดูดความสนใจของเราได้อย่างมาก นั่นก็คืออาหารนั่นเอง และ บางทีของเหล่านี้อาจจะไม่อยู่ในรายการที่เราไม่ได้คิดที่จะซื้อไว้ก่อน สินค้า เหล่านี้จะมีอิทธิพลอย่างมากกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากใน ประเทศต่างๆ หลายประเทศเลย หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคนด้วย อาหารว่าง หรืออาหาร ทานเล่นนั่นเอง ในประเทศอเมริกานั้นดูจะสร้างความวิตกกังวลมากขึ้นทุกๆ ปี เพราะ ว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้นั้นส่วนมากจะเป็นพวกน้ำตาล สารเคมี สี และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ และเป้นสาเหตุของโรคอ้วน และไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเอาซะเลย

French Fries: พูดถึงสิ่งนี้คงต้องพูดถึง Mc Donald's นั่นเอง แต่เราๆ ท่านๆ นั้นอย่าเพิ่งมั่นใจกับสิ่งที่เค้าใช้ในการทอด ที่เค้าบอกว่ามีการเปลี่ยนน้ำมัน สำหรับทอดบ่อยๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั้นส่วนประกอบหลัก เต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด และปรุงรสชาตินั้น อาจจะเป็น อาหารว่างที่อันตรายที่สุด

Donuts: โดนัทคือ ขนมปังที่นำไปทอด อาหารชนิดนี้ก้เต็มไปดก้วยแป้งที่นำมาใช้ทำ ตัวโดนัทเองแล้ว เมื่อนำไปทอดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามันฝรั่งทอดเลย

Chips (Potato or Corn): สิ่งนี่ก็คือมันฝรั่งทอดในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไป ที่ถูกนำไปใส่ไว้ในบรรจุภัณฑ์นั่นเอง แต่เราสามารถที่จะควบคุมอันตรายจากอาหาร ประเภทนี้ได้คือการนำไปอบแทนการทอด ซึ่งมันฝรั่งประเภทที่ใช้การอบแทนนั้นสามารถ หาซื้อได้จากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่อาหารที่ดี และควร รับประทานบ่อยๆ อยู่ดี

Soda: บางคนอาจจะสับสนกับการรวมสิ่งนี้เข้าไปเป็นกลุ่มอาหารด้วยนั้น สิ่งนี้ไม่ เพียงไม่มีคุณค่าทางอาหารยังรวมไปถึงสารเคมีอีกมากมายที่ถูกบรรจุอยู่ใน ผลิตภัณฑ์อีกด้วย

Cupcakes and Snack Cakes: whipped cream ที่มีไส้ครีมมันเยิ้ม และส่วนประกอบ หลักๆ ก็มีแต่ แป้ง น้ำตาล และสารปรุงแต่งกลื่น รส ซึ่งไม่มีคุณค่าอาหารเลย

Candy Bars:กับเจ้าสิ่งนี้อาจจะยังพอมีคุณค่าทางอาหารให้เราอยู่บ้างกับโปรตีน ประมาณ 1-2 กรัม จากถั่วที่เป็นส่วนผสม แต่ว่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่นั้นไม่ สามารถนำมาทดแทนคุณประโยชน์ได้เลย เพราะความแตกต่างนั้นมีมากกว่ากันเยอะเลย แต่ ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ energy bars ซึ่งมีปริมาณแคลลอรี่ น้อยกว่าถึง 1 ใน 3 มีโปรตีนมากกว่า และมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย แต่ยังไงก็มีคุณ ค่าสู้อาหารปกติไม่ได้อยู่ดี

Pork Rinds: เบคอนหรือ แคบหมูทอดในบ้านเรานั่นเอง ซึ่งข้อนี้คงไม่ต้องบอกใครๆ ก็คงทราบดีถึงสิ่งที่ได้รับจากเจ้าสิ่งนี้ว่ามีแต่ไขมันสัตว์

Fat-Free Cookies: สินค้าเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยในแง่ของโภชนาการ เพราะว่าถ้า ดูเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหาร ที่ปราศจากไขมัน ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลลอรี่ไปด้วย ดังนั้นสรุปก็คือ ไม่สมควรรับประทานอีกนั่นแหล่ะ

Crackers: แครกเกอร์เต็มไปด้วยไขมันชนิด Trans ดังนั้นควรอ่านฉลากดูให้ดีก่อน ซื้อ (Trans Fat คือ ไขมันแบบ Polyunsaturated ที่วางขายตามท้องตลาด มีการเติม ธาตุไฮโดรเจนสังเคราะห์ เพื่อให้มีสถานะแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไขมันแบบนี้ มี คุณภาพต่ำ เพราะไปลดปริมาณ HDL และเพิ่มปริมาณ LDL ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของ ความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

Pretzels: อาหารกลุ่มนี้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน แต่ไม่มี ไขมันไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ดี เพราะ Pretzels นั่นเต็มไปด้วยแป้ง และ น้ำตาล ซึ่งแอบแฝงให้ดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ

นอนไม่หลับ 33 วิธีนี้ช่วยได้


นอนไม่หลับ 33 วิธีนี้ช่วยได้

1. อย่าเข้านอนเพราะว่า "ถึงเวลานอนแล้ว" แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง ถ้าดูไม่ออกว่าตอนไหน ขอให้รู้ไว้ว่าร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา แต่ทว่า มนุษย์เรา ไม่รู้ ความหมายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งได้แก่ การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว ส่วนหนังตา ก็หย่อน พาลจะหลับให้ได้…. ถ้ายังไม่รับ ทราบสัญญาณเหล่านี้ คุณก็จะพลาดรถไฟ สายเจ้าหญิงนิทรา และจะต้องรอไปอีกสองชั่วโมง จึงจะง่วงนอนอีกครั้ง เนื่องจากต่าง คนต่างก็มีช่วงจังหวะของตัวเอง จึงเปล่าประโยชน์ที่ คุณ จะเข้านอนแต่เนิ่น ๆ ถ้าคุณเป็นสมาชิกครอบครัว นอนดึก หรือรอจนดึกดื่น จึงเข้านอน ถ้าคุณเป็นพวกนอนหัวค่ำ

2. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย มิฉะนั้นคุณก็เสี่ยง ที่จะง่วง นอนผิดเวลา

3. ทดลองหลับแว่บเดียว ทำเหมือนจิตรกรซัลวาดอร์ ดาลี ที่ดูเหมือนเป็น หนึ่งใน บรรดา ลูกสมุนของเทคนิค "แสงแว่บ" เรียกสติคืนมา นั่งบน เก้าอี้โซฟา มือถือ ช้อนชาคันหนึ่ง ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะ ไว้หนึ่งใบ เมื่อผล็อย หลับ มือก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่น…. ในทางทฤษฎีถือว่า อาการของคุณปกติดี คำอธิบาย….เมื่อหลับตา คุณตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ควรฝึกวันละหลายครั้ง

4. พักกลางคัน ถ้าคุณไม่สนใจพักแป๊ปเดียวเพื่อให้ตนเอง กระปรี้กระเปร่า ก็ใช้วิธีนี้ นั่งท่าสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะ ทำงาน ของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้ กัน หรือนอนท่าเหยียด ยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย 5 นาที เพื่อผ่อนคลาย ง่าย ๆ

5. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ใน วันทำงาน คงยากที่ จะนั่งสัปหงกหน้าแป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์ตอน บ่ายอ่อน ๆ เก็บสะสมความอยากเอนหลังนาน ๆ เป็นชั่วโมง ครึ่งถึงสองชั่วโมง (ซึ่งเป็นหนึ่งวัฏจักรของการ นอนหลับพักผ่อน ที่เต็มอิ่ม) เอาไว้ชดเชยตอนบ่ายของวันสุดสัปดาห์ คุณจะได้พักผ่อนอย่าง อิ่มเอม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์

6. บอกเลิกการตีเทนนิสหรือการออกกายบริหารที่ฟิตเนสทุกเย็นวันอังคาร นอกเสียจากว่าคุณไม่ กลัวนอนดึก การเล่นกีฬาตอนหัวค่ำยิ่งไม่เอื้อ ต่อการนอน เพราะทำให้ร่าง กายสดชื่นตื่นตัว แต่ก็อีกนั่นแหละ ต้องจับตาดูความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เพราะสิ่งที่ทำให้คนใกล้ตัว หลับบางที คือสิ่งที่กลับปลุกให้คุณตื่น

7. ลงมือฝึกชี่กง (ลมปราณ) ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิดจิตใจ และขจัด ความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

8. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ คุณจะรู้สึกว่าเวลาช่วงค่ำยาวนานขึ้น ควรหลีก เลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่" ปล่อยให้เวลาผ่านไป อย่างน้อย สอง ชั่วโมงหลังอาหารค่ำแล้วจึงค่อยนอน

9. ค้นพบความเพลิดเพลินและประโยชน์ของการเดินย่อยอาหารมื้อค่ำ

10. ละเว้นสารกระตุ้นต่าง ๆ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา….ความจริง ที่มนุษย ์ส่วนใหญ่ยังคงละเลยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถจะรับและ มีปฏิกริยา โต้ตอบ พิเศษกับคาเฟอีนก็ตาม เพราะระบบเผาผลาญ บางคนต้อง ใช้เวลาสิบสอง ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว ไม่น่าแปลกใจ ที่คำว่า "kawa" หรือ "กาแฟ" ในภาษาอาหรับ หมายถึง "ตัวทำลายความง่วง"

11. จงหาว ถ้าเกิดง่วงนอนและมีอาการหาวบ่อย ๆ การบังคับตนเองให้หาว จะช่วย ผ่อนคลาย ได้และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแข้งยืดขาด้วย

12. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้

13. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรียสารในคาร์โบไฮเดรต) ตอนมื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม…. เพราะเสี่ยงที่จะ เสริม ให้ โลหิตมี ปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

14. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม ตามความเชี่อที่ว่า อาหารเหล่า นี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

15. ก่อนเข้านอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป แต่ให้ดื่มมาก ๆ ในระหว่างวันตั้งแต ่เวลา 18 นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว

16. ปกป้องตนเองให้พ้นจากเสียงรบกวนหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดาน เก็บเสียง….เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ทีเราใช้ ชีวิต อยู่มีส่วนในการลด ทอนคุณภาพการนอนได้

17. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง การหัวเราะเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติและ เกิดขึ้นเอง ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมี ค่าเท่ากับการ ผ่อนคลายร่างกายสี่สิบห้านาทีเต็ม"

18. การพักผ่อนนอนหลับเป็นเรื่องใหญ่ ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ จงหันไปเลือก ฟูก ขนาด 160 คูณ 200 ซ.ม. กว้างขวางกว่าฟูกมาตรฐานขนาด 140 คูณ 190 ซ.ม. หรือ ไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด 190 คูณ 200 ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด 180 คูณ 210 ซ.ม.

19. เพื่อความสมดุลสงบ เวลานอนควรตรวจสอบทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับการวาง เตียงนอน คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่ เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศ ตะวันออก

20. ถ้าคุณต้องทาสีผนังห้องนอนใหม่ ขอให้ทราบด้วยว่าสีฟ้ากลาง ๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

21. กรองแสงสว่างเหมือนกับการหรี่ศูนย์ความรู้สึดตื่นของเราค่อย ๆ หรี่จาก แสง สว่างจ้าให้มืดลงเรื่อย ๆ ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ ก่อน ดับไฟ คุณจะ ช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ ง่ายขึ้นโดยช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงคือ สองสามนาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

22. ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน อย่างน้อยเวลากลางคืน หลีกเลี่ยง ไม่ให้ มาแย่งออกซิเจน

23. ใช้วารีบำบัด สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย ให้คุณค้นพบกุญแจ สำหรับการ นอนหลับใน โปรแกรม ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ในสระว่ายน้ำ ที่ บรรจุน้ำทะเลอุ่น ๆ ตามด้วยเสียงดนตรีใต้น้ำ การแช่น้ำ ในอ่างจากุชซี่ที่ผสม หัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร ์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

24. อย่าให้ห้องนอนของคุณร้อนเกินไป จะดีที่สุดให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส

25. ควบคุมการหายใจขณะตื่นอยู่ ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง โดยสัญชาตญาณ จงหายใจเข้าช้า ๆ และลึก ๆ โดยใช้ท้องอย่างไม่ต้องฝืน และ ต่อเนื่องกันราบ รื่น หายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่ อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้น ๆ นี้มีบทบาททำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติ การหายใจ ในท่านอนเหยียดยาว ก่อนนอน

26. นวดตัว โดยเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง ด้วยน้ำมันหอม ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะ เพิ่ม น้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิด บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) เทคนิค อื่นในการคลาย เครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบา ๆ ไล่จากคางขึ้น ไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับ ลง มาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ ด้วยเช่นกัน

27. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือบังคับควบคุม ความรู้สึกของสายตาและ ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ได้สำเร็จ ขณะ นอนหลับ สัมผัสทั้งห้าของเราถอดสายปลั๊ก ตามธรรมชาต ิเริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

28. อาบน้ำร้อน โดยค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส การทำเช่นนี้มี ปฏิกริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) คุณสามารถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลิน เท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ ทำปฏิกริยา คุณเพียงแต่แช่ เท้าใน น้ำร้อน ก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึง อุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่ม ร่างแหเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติ ก่อนเข้านอน

29. เพียงแค่วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภาย ในช่องท้องที่ ขวางการไหลเวียนพลังงาน

30. อย่าคาดหมายล่วงหน้า พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึง การนัดหมาย สำคัญทาง อาชีพการงานใน วันรุ่งขึ้น แนวคิดคือเข้านอนดึกด้วย ความกังวลจะทำให้ คุณหลับ ไม่ลง

31. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตาและจินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็น ฉ่ำ ที่ราดรด ลงมาจาก ศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไป ตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึก ๆ อย่างรู้สติเป็นชุด ๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

32. สามชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามัน จุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือ ใช้ความคิดใคร่ ครวญ

33. พยายามคอยสังเกตสิ่งที่คุณทำแล้วหลับได้สนิทดี จะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ธรรมะ...รักษาใจยามป่วยไข้


ร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้นเป็นคู่กันร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีย่อมคู่กับ จิตใจที่สุขสบายเรียกว่ามีความสุขใจ เมื่อร่างกายไม่สบายเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรืออาการรุนแรงที่มีความเจ็บปวดถึงขั้นทน ทุกข์ทรมาน จิตใจก็ย่อมหงุดหงิด โมโหง่าย มีความกลัวตาย กังวลใจ หวาดระแวง ท้อแท้ หดหู่ ทำให้หน้าตาหม่นหมองผิวพรรณไม่สดชื่น หมดกำลังใจจนเบื่อข้าวปลาอาหารได้สิ่งเหล่านี้คือความทุกข์
การที่เราจะรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์เมื่อร่างกายผจญกับโรคภัยไข้เจ็บนั้น เป็นเรื่องยาก แต่ก็มียาขนานวิเศษที่รักษาได้ สิ่งนั้นคือพระคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่องของการเจ็บป่วยนี้ ท่านได้ตรัสสอนไว้ว่า “ ถึงแม้ร่างกายเราจะป่วย แต่ถ้าใจเราไม่ป่วยเราก็จะมีกำลังใจต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ซึ่ง การที่ใจไม่ยอมป่วยนี้เรียกว่า ความมีสติ คือทำใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของความทุกข์ ความแปรปรวนของร่างหาย ดั้งนั้น ในขณะที่แพทย์ทำการรักษาร่างกายของเรา ดังนั้น ในขณะที่แพทย์ทำการรักษาร่างกายของเรา เราเองก็ควรรักษาใจของเราไปพร้อมกันด้วย
การรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์นั้น ต้องมีการฝึกจิตใจให้มีความเข้มแข็ง มีสติ เพื่อให้จิตตั้งมั่น จะได้ไม่อ่อนแอหรือหงุดหงิด วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลคือ การเอาจิตไปผูกพันกับสิ่งที่เราเคารพและศรัทธา เพื่อให้จิตใจมีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นการกำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วท่องคำว่า พุทโธ ทำอย่างนี้ต่อเนื่องกับตลอดเวลา จิตก็จะไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น การทำเช่นนี้มีประโยชน์เพราะเมื่อจิตมีสิ่งยึดเหนี่ยวก็จะมีความสงบมั่นคง เป็นจิตที่ไม่ฟุ้งว่านและไม่เศร้าหมอง มีแต่ความเบิกบานผ่องใส
ความทุกข์ใจนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก็จริง แต่เราสามารถดับความทุกข์ได้โดยการคุมสติให้มั่น ดังที่กล่าวมาแล้วถ้าหากเราได้ฝึกทำบ่อย ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองเพราะชีวิตของคนเราในวันหนึ่ง ๆ มีโอกาสที่จะพบกับปัญหาและเรื่องทุกข์ใจอย่างมากมาย ไม่ใช่แต่เรืองความเจ็บป่วยเท่านั้น ดังนั้นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งไว้จึงเป็นเรื่องที่ดีเพราะเมื่อมีเหตุมากระ ทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้ายแรงเพียงใด จิตใจก็จะมีความมั่นคงทำให้เราปรับตัวได้ และถ้าเราได้ทำอยู่แล้วเป็นประจำ ผู้เขียนขอส่งกำลังใจให้ผู้ที่เจ็บป่วยทางร่างกายทุกคน ได้ยึดเอาธรรมมะเพื่อฝึกเอาชนะจิตใจให้ต่อสู้กับโรคร้ายได้สำเร็จ และให้มีจิตใจที่มั่นคง ผ่องใสตลอดไป
ร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้นเป็นคู่กันร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีย่อมคู่กับ จิตใจที่สุขสบายเรียกว่ามีความสุขใจ เมื่อร่างกายไม่สบายเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรืออาการรุนแรงที่มีความเจ็บปวดถึงขั้นทน ทุกข์ทรมาน จิตใจก็ย่อมหงุดหงิด โมโหง่าย มีความกลัวตาย กังวลใจ หวาดระแวง ท้อแท้ หดหู่ ทำให้หน้าตาหม่นหมองผิวพรรณไม่สดชื่น หมดกำลังใจจนเบื่อข้าวปลาอาหารได้สิ่งเหล่านี้คือความทุกข์
การที่เราจะรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์เมื่อร่างกายผจญกับโรคภัยไข้เจ็บนั้น เป็นเรื่องยาก แต่ก็มียาขนานวิเศษที่รักษาได้ สิ่งนั้นคือพระคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่องของการเจ็บป่วยนี้ ท่านได้ตรัสสอนไว้ว่า “ ถึงแม้ร่างกายเราจะป่วย แต่ถ้าใจเราไม่ป่วยเราก็จะมีกำลังใจต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ซึ่ง การที่ใจไม่ยอมป่วยนี้เรียกว่า ความมีสติ คือทำใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของความทุกข์ ความแปรปรวนของร่างหาย ดั้งนั้น ในขณะที่แพทย์ทำการรักษาร่างกายของเรา ดังนั้น ในขณะที่แพทย์ทำการรักษาร่างกายของเรา เราเองก็ควรรักษาใจของเราไปพร้อมกันด้วย
การรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์นั้น ต้องมีการฝึกจิตใจให้มีความเข้มแข็ง มีสติ เพื่อให้จิตตั้งมั่น จะได้ไม่อ่อนแอหรือหงุดหงิด วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลคือ การเอาจิตไปผูกพันกับสิ่งที่เราเคารพและศรัทธา เพื่อให้จิตใจมีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นการกำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วท่องคำว่า พุทโธ ทำอย่างนี้ต่อเนื่องกับตลอดเวลา จิตก็จะไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น การทำเช่นนี้มีประโยชน์เพราะเมื่อจิตมีสิ่งยึดเหนี่ยวก็จะมีความสงบมั่นคง เป็นจิตที่ไม่ฟุ้งว่านและไม่เศร้าหมอง มีแต่ความเบิกบานผ่องใส
ความทุกข์ใจนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก็จริง แต่เราสามารถดับความทุกข์ได้โดยการคุมสติให้มั่น ดังที่กล่าวมาแล้วถ้าหากเราได้ฝึกทำบ่อย ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองเพราะชีวิตของคนเราในวันหนึ่ง ๆ มีโอกาสที่จะพบกับปัญหาและเรื่องทุกข์ใจอย่างมากมาย ไม่ใช่แต่เรืองความเจ็บป่วยเท่านั้น ดังนั้นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งไว้จึงเป็นเรื่องที่ดีเพราะเมื่อมีเหตุมากระ ทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้ายแรงเพียงใด จิตใจก็จะมีความมั่นคงทำให้เราปรับตัวได้ และถ้าเราได้ทำอยู่แล้วเป็นประจำ ผู้เขียนขอส่งกำลังใจให้ผู้ที่เจ็บป่วยทางร่างกายทุกคน ได้ยึดเอาธรรมมะเพื่อฝึกเอาชนะจิตใจให้ต่อสู้กับโรคร้ายได้สำเร็จ และให้มีจิตใจที่มั่นคง ผ่องใสตลอดไป

10 วิธีในการคลายความเครียด



1. ฟังเพลง หามุมสงบ
นั่ง ปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์
ขอ แนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ
อย่า คิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

4. เขียนไดอารี่
การ เขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจ ต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ

5. พลังแห่งการสัมผัส
ลอง มองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน
พยายาม มองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีก ครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง

7. สูดกลิ่นหอม
รู้ หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัส ให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ

8. ไปตากอากาศ
หา เวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น

9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน
ลอง หาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ

10. จินตนาการแสนสุข
อีก ทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น

อดนอนดู 'บอลโลก' ระวังอันตราย!?



ช่วงนี้กระแสฟุตบอลโลกฟีเวอร์ คอบอลหลายคน เฝ้าหน้าจอเชียร์ทีมโปรดไม่ห่าง ไม่ว่าจะดึกดื่นสักแค่ไหน ทำให้ต้องอดหลับอดนอนในบางคู่ที่แข่งขันกันดึก ๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีคำแนะนำในการดูแลสุขภาพมา ฝากกัน นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ปกติชั่วโมงในการนอนไม่สำคัญเท่ากับการนอนให้หลับลึก โดยทั่วไปจะแบ่งกลุ่มคนนอนให้อิ่มเป็น 2 กลุ่ม คือ นอนน้อยและอิ่มอย่างน้อย 4 ชม. ขึ้นไป ส่วนอีกกลุ่มนอนไม่ค่อยอิ่ม กลุ่มนี้อาจจะต้องนอน 6-8 ชม. เป็นอย่างต่ำ ข้อสำคัญคือนอนแล้วจะต้องหลับลึก หมายความว่า ตื่นขึ้นมาจำไม่ได้ว่าเราฝันอะไร ช่วงนาทีทองที่ควรเข้านอนคือ 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้า อาจนอนดึก ได้แต่ไม่ควรเกินเที่ยงคืน เพราะว่าโกรธฮอร์โมนจะหลั่งตอนเที่ยงคืน ที่สำคัญเวลาในการนอนอย่าให้ห่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น วันนี้นอนเที่ยงคืน แต่พอวันถัดไปนอนตี 2 ตี 3 เพราะบางทีสมองจะงง และไม่หลั่งโกรธฮอร์โมนออกมา ในกรณีที่อดนอน นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ผลที่จะตามมา คือ 1.การหลับใน 2.ความดันโลหิตพุ่งได้ โดยเฉพาะคนที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ช่วงเช้าจะยิ่งน่ากลัวเพราะหัวใจอาจวาย หรือเส้นเลือดในสมองอาจแตกได้ 3.ทำให้อ้วน คนนอนน้อยจะทำให้อ้วนได้ เพราะร่างกายจะหลั่งธาตุที่เก็บไขมันออกมา ชื่อว่า คอติซอล 4.จะทำให้มีสนิมแก่ หรืออนุมูลอิสระออกมาเยอะ ผิวหมอง หน้าคล้ำ ตาช้ำเหมือนหมีแพนด้า 5. น้ำตาลขึ้น 6.กระตุ้นไมเกรน ชวนให้ปวดหัว ทำให้หงุดหงิดง่ายขึ้น 6.หิวเร็วขึ้น อาหารที่ไม่ควรรับประทานตอนดึก ๆ ระหว่างเชียร์บอล คือ ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรจะเปลี่ยนเป็นน้ำเต้าหู้แทน เพราะจะได้สารเปปไทด์ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของสมอง ส่วนของขบเคี้ยวก็ควรเป็นถั่วต่าง ๆ เพราะจะมีกลุ่มวิตามินอีช่วยเรื่องสมองเช่นกัน แต่มีข้อแม้ว่าอย่าโรยเกลือ เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายขาดน้ำและยิ่งอักเสบ อยากให้แนะนำอาหารที่ควรรับประทานหลังจากตื่นนอนเพื่อให้เกิดความสดชื่น? นพ.กฤษดา กล่าวว่า ควรรับประทานอาหารจำพวกนมวัวจะช่วยกระตุ้นสมอง หรือรับประทานอาหารจำพวกไก่ หรือไข่ เช่น ไข่ตุ๋น หรือซุปไก่ เพราะจะมีซิสเทอีน ช่วยกระตุ้นสมอง หรือจะรับประทานธัญพืชช่วยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง เช่น กระยาสารท งาดำ เป็นต้น ส่วนอาหารต้องห้ามหลังอดนอนมาเยอะ ๆ ที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่ อาหารร้อน ๆ อาหารทอด มัน ๆ เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเวลากลางคืนจะเป็นเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมการอักเสบ ถ้าอดนอนตื่นมาจะทำให้เจ็บคอ ร้อนใน เป็นสิวมากขึ้น เพราะเกิดการอักเสบที่ไม่ได้ถูกซ่อมตอนกลางคืน ดังนั้นไม่ควรกินอาหารที่ทำให้ร้อนขึ้นเพราะจะยิ่งทำให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะจะไปบีบหัวใจทำให้หัวใจทำงานหนัก ถ้ารู้ว่าคืนนี้จะมีบอลคู่โปรดต้องอยู่ดึกให้ดื่มน้ำตามเยอะ ๆ จะช่วยไม่ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย ด้าน นพ.จุลินทร์ โอภานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะ กล่าวว่า หาก อดนอน 1-2 คืน จะทำให้การ ทำงานของร่างกายและสมองเสียสมดุลไป อาการที่ชัดเจน คือ จะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ท้องผูก มักจะมีอารมณ์ไม่ดี ฉุนเฉียวง่าย สำหรับผู้อดนอนเป็นเวลานาน ๆ หลายชั่วโมงและหลายวัน อาจจะทำให้ประ สิทธิภาพการจดจำลดลง ทำให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย ๆ ภูมิต้านทานลดลง มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งบางอย่างสูงขึ้น ทำให้อ้วนขึ้น มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้เชื่องช้า และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร การตัดสินใจอย่างฉับพลันมีโอกาสผิดพลาดสูง และโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็น 2 เท่าของบุคคลที่นอนเพียงพอ สำหรับการปฏิบัติตัวไม่ให้สุขภาพโทรม คือ 1.ต้องวางแผนการนอนให้ดี ให้มีช่วงหลับติดต่อกันได้นานถึง 4 ชั่วโมง 2.แม้นอนดึก ก็ควรตื่นเช้าเช่นเดิม หลายคนเข้าใจว่านอนดึก ตื่นสายเป็นสิ่งที่ดี เพราะถือเป็นการชดเชยกัน แท้ที่จริงแล้วส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะความสมดุลของนาฬิกาในร่างกายได้เปลี่ยนแปลงไป หากทำเช่นนั้นแล้วอาจก่อให้เกิดภาวะเซื่องซึม สมองล้า ดังนั้น ควรตั้งเวลาตื่นที่แน่นอน แม้จะนอนดึก อดนอน ก็ควรตื่นในเวลาเดิม 3.ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี และ ซีสูง เพื่อเป็นการชดเชยส่วนที่หายไป อาหารที่แนะนำคือ ข้าวกล้อง ผักหรือผลไม้สด ๆ น้ำส้มคั้นสด ๆ แต่ถ้าหาได้ลำบากเป็นวิตามินสำเร็จรูป เช่น วิตามินบีรวม วันละ 1-2 เม็ด และวิตามินซี วันละ 1,000 มก. โดยวิตามินบีและซี จะช่วยทำให้สมองลดความเครียดได้ ท้ายนี้ในการชมฟุตบอลโลกอย่างสนุกและสุขภาพดี อย่าหักโหมดูบอลจนเสียงาน เสียเงิน เสียแฟนและเสียสุขภาพ อาจจะเลือกดูให้เหมาะสมกับการทำงานของเรา หรือเลือกดูคู่ที่เป็นไฮไลต์เท่านั้น ถ้าอยากดูจริง ๆ อัดเทปไว้ก็ได้ แล้วค่อยมาดูช่วงกลางวันหรือตอนเย็น.










อ้างอิงจาก:




วันอาทิตย์ ที่ 13 มิถุนายน 2553

ขั้นตอนการล้างมือ 7 ขั้นตอน



หลัก ๘ ประการของการดูแลรักษาสุขภาพ


๑. รับประทานอาหาร อย่างถูกต้องเหมาะสม
อาหารเช้า
สำคัญมากเพราะช่วงเช้าร่างกายขาดน้ำตาล ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าจะเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะมี
ผลทำให้ความคิดตื้อตันไม่ปลอดโปร่ง วิตกกังวล ใจสั่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด โมโหง่าย มื้อเช้ารับประทานได้เช้า
ที่สุดยิ่งดี (ระหว่างเวลา ๖.๐๐ – ๗.๐๐ น.) เพราะท้องว่างมานาน หากยังไม่มีอาหารให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำข้าวอุ่น ๆ
ก่อน ควรทานข้าวต้มร้อน ๆ จะช่วยให้ง่ายต่อการขับถ่ายอุจจาระ ถ้าจำเป็นต้องรับประทาน(สาย) ใกล้อาหารมื้อ
กลางวัน อย่ารับประทานมาก
อาหารเพล (อาหารมื้อกลางวัน)
ควรเป็นอาหารหนัก เช่น ข้าวสวย พร้อมกับข้าวครบ ๕ หมู่ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมาก และควร
รับประทานให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

๒. ขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ สม่ำเสมอทุกวัน
๓. ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม กับฤดูกาล เช่น หน้าหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ สวมหมวก ถุงมือ ถุงเท้า
ขณะนอนตอนกลางคืนควรห่มผ้าปิดถึงอก
๔. ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งทุกวัน
๕. รักษาความสะอาดของสถานที่พักอาศัย เพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี
๖. รักษาอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดทั้งวัน และอย่าลืมนั่งสมาธิทุกวัน
๗. พักผ่อนให้เพียงพอ เหมาะสมกับเพศ และวัยไม่ควรนอนดึกเกิน ๒๒.๐๐ น. ติดต่อกันหลายวัน
๘. มีท่าทาง และอิริยาบถที่ถูกต้องเหมาะสม ในการทำงานในชีวิตประจำวัน